วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

สงครามเก้าทัพ

ประวัติศาสตร์ชาติสยาม "สงครามเก้าทัพ"

สงครามเก้าทัพ เป็นสงครามระหว่างอาณาจักรพม่ากับราชอาณาจักรไทย หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานีแห่งใหม่ เวลานั้นบ้านเมืองอยู่ในช่วงผ่านศึกสงครามมาใหม่ ๆ ประจวบทั้งการสร้างบ้านแปลงเมือง รวมทั้งปราสาทราชวังต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า หลังจากบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์อังวะแล้ว ต้องการประกาศแสนยานุภาพ เผยแผ่อิทธิพล โดยได้ทำสงครามรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยรวมถึงเมืองประเทศราชให้เป็นปึกแผ่น แล้วก็ได้ยกกองกำลังเข้ามาตีไทย โดยมีจุดประสงค์ทำสงครามเพื่อทำลายกรุงรัตนโกสินทร์ให้พินาศย่อยยับเหมือนเช่นกรุงศรีอยุธยา

สงครามครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้ยกทัพมาถึง 9 ทัพ รวมกำลังพลมากถึง 144,000 นาย โดยแบ่งการเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์ออกเป็น 5 ทิศทาง

ทัพที่ 1 ได้ยกมาตีหัวเมืองประเทศราชทางปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ทัพที่ 2 ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรีเพื่อที่จะรวบรวมกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์
ทัพที่ 3 และ 4 เข้ามาทางด่านแม่ละเมาแม่สอด
ทัพที่ 5-7 เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ 3 4 ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์ ทัพที่ 8-9 เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง 50,000 นาย ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือ และใต้โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ารบกับกรุงเทพฯ เวลานั้นทางฝ่ายไทยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รวบรวมกำลังไพล่พลได้เพียง 70,000 นายมีกำลังน้อยกว่าทัพพระเจ้าพม่าถึง 2 เท่า ประจวบเป็นทหารรบเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เคยกอบกู้บ้านเมืองสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาไว้ได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงปรึกษาวางแผนการรับข้าศึกกับ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ว่าจะทำการป้องกันบ้านเมืองอย่างไร แผนการรบของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ คือจัดกองทัพออกเป็น 4 ทัพโดยให้รับศึกทางที่สำคัญก่อน แล้วค่อยผลัดตีทัพที่เหลือ

ทัพที่ ๑ ให้ยกไปรับทัพพม่าทางเหนือที่เมืองนครสรรค์
ทัพที่ ๒ ยกไปรับพม่าทางด้านพระเจดีย์สามองค์ ทัพนี้เป็นทัพใหญ่ มีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพ คอยไปรับทัพหลวงของพระเจ้าปดุงที่เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๓ ยกไปรับทัพพม่าที่จะมาจากทางใต้ที่เมืองราชบุรี
ทัพที่ ๔ เป็นทัพหลวงโดยมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นผู้คุมทัพคอยเป็นกำลังหนุน เมื่อทัพไหนเพลี้ยงพล้ำก็จะคอยเป็นกำลังหนุน สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาท ได้ยกกองทัพไปถึงเมืองกาญจนบุรี ตั้งรับทัพอยู่บริเวณทุ่งลาดหญ้า เชิงเขาบรรทัด สกัดกั้นไม่ให้ทัพพม่าได้เข้ามารวบรวมกำลังพลกันได้ นอกจากนี้ยังจัดกำลังไปตัดการลำเลียงเสบียงของพม่าเพื่อให้กองทัพขาดเสบียงอาหาร แล้วยังใช้อุบาย โดยทำเป็นถอยกำลังออกในเวลากลางคืน ครั้นรุ้งเช้าก็ให้ทหารเดินเข้ามาผลัดเวร เสมือนว่ามีกำลังมากมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เมื่อทัพพม่าขาดแคลนเสบียงอาหารประจวบกับครั้นคร้ามคิดว่ากองทัพไทยมีกำลังมากกว่า จึงไม่กล้าจะบุกเข้ามาโจมตี สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเมื่อสบโอกาสทำการโจมตีกองทัพ 8-9 จนถอยร่นพระเจ้าปดุงเมื่อเห็นว่าไม่สามารถบุกโจมตีต่อได้ประจวบทั้งกองทัพขาดเสบียงอาหารจึงได้ถอยทัพกลับ สำหรับการโจมตีทางด้านอื่น ทางด้านเหนือพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางสามารถป้องกันทัพพม่าที่ยกมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือได้สำเร็จ

ส่วนทัพที่บุกมาทางด่านแม่ละเมามีกำลังมากกว่าจึงสามารถตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่เมื่อเสร็จศึกทางด้านพระเจดีย์สามองค์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงเสด็จยกทัพขึ้นไปช่วยหัวเมืองทางเหนือ

ส่วนทางปักษ์ใต้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เมืองเสร็จศึกที่ลาดหญ้าแล้ว เสด็จยกทัพลงไปช่วยทางปักษ์ใต้ต่อ แต่ก่อนที่จะเสด็จไปถึง ทัพพม่าได้โจมตีเมืองระนอง เมืองถลาง เวลานั้นเจ้าเมืองถลางเพิ่งจะถึงแก่กรรมยังไม่มีการตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ แต่ชาวเมืองถลางนำโดยคุณหญิงจันภริยาเจ้าเมืองถลางที่ถึงแก่กรรมและนางมุกน้องสาว ได้รวบรวมกำลังชาวเมืองต่อสู้ข้าศึกจนสุดความสามารถ สามารถป้องกันข้าศึกพม่าไม่ให้ยึดเมืองถลางไว้ได้ หลังเสร็จศึกแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกษัตรีย์ (หรือท้าวเทพสตรี) นางมุกน้องสาวเป็นท้าวศรีสุนทร นอกจากนี้ทัพพม่าบางส่วนสามารถตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ และยกลงไปตีเมืองสงขลาต่อ เจ้าเมืองและกรมการเมืองสงขลาพอทราบข่าวทัพพม่าตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ด้วยความขลาดจึงหลบหนีเอาตัวรอด แต่เจ้าเมืองพัทลุงพระยาขุนคางเหล็กและได้นิมนต์ภิษุรูปหนึ่งนามว่าพระมหาช่วยมีชาวบ้านนับถือศรัทธากันมาก ได้ชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ป้องกันสกัดทัพพม่าไม่ให้เข้ายึดเมืองพัทลุงได้ เมืองกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพลงมาช่วยหัวเมืองปักษ์ใต้ ตีทัพพม่าตั้งแต่เมืองไชยาลงมาจนถึงนครศรีธรรมราช เมื่อทัพพม่าแตกพ่ายถอยร่นไปพ้นจากหัวเมืองปักษ์ใต้แล้ว พระมหาช่วยต่อมาได้ลาสิกขาบทและเข้ารับราชการ

คำพูดของพระราชวังบวรสุรสีหนาท ก่อนเข้าตีค่ายพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า

"พวกเจ้าเป็นไพร่หลวง ข้าเป็นพระราชวงศ์ แต่เจ้ากับข้าเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราเป็นคนไทย เป็นเจ้าของแผ่นดินเหมือนกัน รบวันนี้เราจะแสดงให้ผู้รุกรานเห็นว่าเราหวงแหนแผ่นดินแค่ไหน รบวันนี้เราจะไม่กลับมาค่ายนี้อีกจนกว่าจะขับไล่ศัตรูไปพ้นชายแดน ข้าจะไม่ขอให้พวกเจ้ารบเพื่อใคร นอกจากรบเพื่อแผ่นดินของเจ้าเอง แผ่นดินที่เจ้ามอบให้ลูกหลานของเจ้าได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสืบไป" 
________________________
ขอบคุณภาพข้อมูล วิกิพีเดีย




วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

เด็กไทยถูกละเมิดสิทธิ ไม่เป็นธรรม สามารถร้องเรียนยูเอ็นได้โดยตรง

มีผลบังคับใช้แล้ว สำหรับเด็กในประเทศไทยที่ถูกละเมิดสิทธิ สามารถส่งเรื่องร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติได้โดยตรง โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกและเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียที่ได้ลงนามและให้สัตยาบันในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน เมื่อเดือน ก.ย.ปี 2555 โดย นายพิชัย ราชภัณฑารี ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลไทยได้ลงนามและให้สัตยาบันในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน โดยอนุญาตให้เด็ก กลุ่มเด็กหรือตัวแทนของเด็กสามารถส่งเรื่องร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้โดยตรง ในกรณีที่ถูกละเมิดและไม่สามารถใช้กระบวนการที่มีอยู่ในประเทศในการได้รับความยุติธรรม โดยมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 57 ที่ผ่านมา

http://www.thairath.co.th/content/417677


วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

สหรัฐรับอิทธิพลในเวทีโลกถดถอย

รัฐมนตรีต่างประเทศและวุฒิสมาชิกสหรัฐ เห็นพ้องกันว่า อเมริกาในวันนี้ไม่ใช่อภิมหาอำนาจแบบหลังสงครามเย็น ไม่อาจชี้นำโลกยุคใหม่ได้

ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์แห่งวุฒิสภาสหรัฐเพื่อพิจารณางบประมาณของกระทรวงต่างประเทศเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น (8 เม.ย.) กรรมาธิการจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างหยิบยกความวิตกในศักยภาพสหรัฐที่จำกัดลงในการรับมือกับปัญหาท้าทายต่าง ๆ ของโลก ตั้งแต่การรุกคืบของรัสเซียในยูเครน โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน การแสดงแสนยานุภาพของจีนในภูมิภาคแปซิฟิค และสงครามกลางเมืองซีเรีย

นายโรเบิร์ต คอร์คเกอร์ ส.ว.รีพับลิกันคนสำคัญในคณะกรรมาธิการกล่าวว่า การตัดสินใจหลายเรื่องของรัฐบาล โดยเฉพาะกรณีที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ไม่ได้ทำตามคำขู่ใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรียหลังใช้อาวุธเคมีกับประชาชนเมื่อปีที่แล้ว บั่นทอนอิทธิพลและความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯลงไปมาก

ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ "นายจอห์น แคร์รี" ย้ำว่า สหรัฐอยู่ในโลกที่ซับซ้อนและไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้ว่าสหรัฐจะมีอำนาจมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถใช้กำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการได้ โดยเฉพาะในโลกที่มีประเทศเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างจีน อินเดีย เม็กซิโก เกาหลีใต้ บราซิล และอีกหลายประเทศ

ขณะที่นายนิโคลัส เบิร์นส์ นักการทูตมากประสบการณ์ซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิชาการมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า สหรัฐเคยเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นหลังสงครามเย็นสิ้นสุด เมื่อจีนและชาติอำนาจอื่นๆผงาดขึ้นมา สหรัฐยังคงเป็นประธานบอร์ดในฐานะประเทศแข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่สหรัฐต้องพูดคุย หาฉันทามติ ต้องลงมือแบบมีแนวร่วม และไม่อาจชี้นำโลกได้เหมือนในอดีต

กรุงเทพธุรกิจออนไลท์

เมื่อรถยางแตกขณะขับรถ 

เมื่อรถยางแตกขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจ มองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัว และจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลัก เพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้ายรถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนองตรงกันข้าม หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้ามอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้น ส่วนมากก็ คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ พอยางระเบิดขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูล ขอขอบคุณ zabzaa.com



ราชสวัสดิ์ 10 ประการ

ราชสวัสดิ์ 10 ประการ

โบราณว่าเป็นข้าจอมกษัตริย์ ราชสวัสดิ์ต้องเพียรเรียนรักษา
ท่านกำหนดจดไว้ในตำรา มีมาแต่โบราณช้านานครัน

หนึ่งวิชาสามารถมีอย่างไร ไม่ปิดไว้ให้ท่านทราบทุกสิ่งสรรพ์
หนึ่งกล้าหาญทำการถวายนั้น มุ่งมั่นจนสำเร็จเจตนา
หนึ่งมิได้ประมาทราชกิจ ชอบผิดตริตรึกหมั่นศึกษา

หนึ่งสัตย์ซื่อถือธรรมจรรยา เหมือนสมาทานศิลไว้ให้มั่นคง
หนึ่งเสงี่ยมเจียมตัวไม่กำเริบ เอื้อเอิบหยิ่งเย่อเพ้อหลง
หนึ่งอยู่ใกล้ชิดติดพระองค์ ไม่ทำเทียมด้วยทะนงพระกรุณา

หนึ่งไซร้ไม่ร่วมพระราชอาสน์ ด้วยอุบาทว์จัญไรเป็นหนักหนา
หนึ่งเข้าเฝ้าชาวในไม่พันพัว เล่นหัวผูกรักสมัครสมาน
หนึ่งสวามิภักดิ์ใคร่ในภูบาล ถึงถูกกริ้วทนทานไม่ตอบแทน

(พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานไว้เพื่อเป็นข้อเตือนใจและข้อปฏิบัติแก่ราชสำนัก)


วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรียบเรียง คำพิพากษา กรณี มีเพลงอยู่ใน Computer

เรียบเรียง คำพิพากษา กรณี มีเพลงอยู่ใน Computer
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2549
พนักงานอัยการจังหวัดลำปาง โจทก์
นายสุนทร บุญประเสริฐ จำเลย
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27, 28, 31(2), 69 วรรคสอง, 70 วรรคสอง

เจตนารมณ์ ของกฎหมายในการร้องทุกข์ก็เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทราบว่ามีการกระทำ ความผิดเกิดขึ้นและประสงค์จะให้มีการนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ร. ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และต่อมาได้นำเจ้าพนักงานตำรวจค้นร้านที่เกิดเหตุและจับจำเลยส่งพนักงานสอบ สวน จากนั้น ร. จึงได้ร้องทุกข์อีกครั้ง โดยการร้องทุกข์ครั้งหลังมีข้อความระบุถึงตัวผู้กระทำผิดและลักษณะของความ ผิดชัดเจนถือได้ว่าคดีนี้มีการร้องทุกข์โดยชอบและทำให้การสอบสวนในเวลาต่อมา ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรม สิ่งบันทึกเสียง และโสตทัศนวัสดุของผู้เสียหายโดยนำเอางานซึ่งมีลิขสิทธิ์ตามฟ้องไปบรรจุใน เครื่องอ่านข้อมูล แล้วแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาภาพและเสียง แพร่ภาพ เนื้อร้อง และทำนองทางจอมอนิเตอร์ และแพร่เสียงทางลำโพงสำหรับลูกค้า ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27, 28, 29 และ 69 แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำซ้ำซึ่ง งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องการกระทำผิดเกี่ยวกับการแพร่งานดังกล่าวต่อสาธารณชน เพราะงานที่ถูกบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูลนั้นเป็นงานที่ถูกทำซ้ำขึ้นใหม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น การเผยแพร่งานที่บรรจุไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต่อสาธารณชนจึงไม่ใช่ ความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (2), 28 (2) และไม่อาจถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ที่จะขอให้ลงโทษจำเลยในเรื่องการเผย แพร่งานซึ่งได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรด้วยการเผย แพร่ต่อสาธารณชน อันจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (3) ด้วย เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายตรานี้ไว้ในคำฟ้องแต่อย่างใด
________________________________

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 29, 69, 75 และ 76 ริบของกลาง และให้จ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็น เจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง คืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7) หมายความถึง การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 วรรคสอง ระบุว่า คำร้องทุกข์นั้นต้องปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ต่างๆ ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ความเสียหายที่ได้รับ และชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำความผิดเท่าที่จะบอกได้ แสดงให้เห็นว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายในการแจ้งความร้องทุกข์นั้น ก็เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทราบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และประสงค์ที่จะให้มีการนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายรพีพัฒน์เข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจครั้งแรกตามรายงานประจำวัน เกี่ยวกับคดี และนายรพีพัฒน์ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปทำการตรวจค้นร้านที่เกิดเหตุและจับ จำเลยส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไปจากนั้นนายรพีพัฒน์ยังได้ร้อง ทุกข์อีกครั้งตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีโดยการร้องทุกข์ในครั้งหลังนี้ มีข้อความที่ระบุถึงตัวผู้กระทำความผิดและลักษณะแห่งความผิดชัดเจน ถือได้ว่าคดีนี้มีการร้องทุกข์และทำให้การสอบสวนในเวลาต่อมาชอบด้วยกฎหมาย แล้ว ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น

......ศาลฎีกาแผนกคดี ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะวินิจฉัยต่อไปในปัญหาที่ว่าจำเลย กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรมสิ่งบันทึกเสียง และโสตทัศนวัสดุของผู้เสียหาย โดยนำเอาเพลงขอเลวแค่นี้ รักแท้แพ้ใกล้ชิด ชดใช้ยังไง ข้อดีที่มีเธอ ซึ่งเป็นผลงานเพลงในอัลบัมเพลงชุด “ปาน ทรู สตอรี่ ความรัก/ผู้ชาย/ปลาย่าง” ซึ่งขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร นำไปบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูล ซึ่งทำการแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณภาพและเสียง โดยแพร่ภาพ เนื้อร้อง และทำนองทางจอมอนิเตอร์ และแพร่เสียงผ่านทางลำโพง ไว้สำหรับบริการลูกค้า กับขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 29, 69, 75 และ 76

แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำซ้ำซึ่ง งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียงตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (1), 28 (1) ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่งานดังกล่าวต่อ สาธารณชน เพราะงานที่ถูกบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูลนั้นเป็นงานที่ถูกทำซ้ำขึ้นใหม่หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
หาใช่งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียง ที่แท้จริงของผู้เสียหาย ตามความหมายของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27 และ 28 ไม่ การเผยแพร่งานที่บรรจุไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต่อสาธารณชน
จึงไม่ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (2), 28 (2)
และไม่อาจถือได้ว่า โจทก์มีความประสงค์ที่จะขอให้ลงโทษจำเลยในเรื่องของการเผยแพร่งานซึ่งทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรด้วยการเผยแพร่ต่อสาธารณชน อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) ด้วย เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายมาตรานี้ไว้ในคำฟ้องแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง

กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน
( พิชิต คำแฝง - สุวัฒน์ วรรธนะหทัย - ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช )
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง - นายสุทิน ปัทมราชวิเชียร
…………………………………………………………………………………………………………………………
หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2549 นี้
หมายความว่า ศาลแนะนำว่า ต้องฟ้องตามมาตรา 31 เท่านั้น
มาตรา 31 ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้น เพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือเสนอให้เช่าซื้อ
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(3) แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
(4) นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
...
ร้านอาหารเปิดเพลงMP3ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ การละเมิดลิขสิทธิ์เพลงของผู้อื่น ต้องเป็นกรณีที่ทำละเมิดขึ้น "เพื่อหากำไร" เท่านั้น เจ้าของขายอาหารและเครื่องดื่มเปิดเพลงจาก MP3 ให้ลูกค้าฟังในร้านอาหารโดยไม่ได้หากำไรโดยตรงจากเพลงที่เปิดหรือเรียกเก็บ ค่าตอบแทนจากลูกค้าจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้ อื่น แม้จำเลยจะรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องปรากฏแต่เพียงว่า จำเลยเปิดแผ่นเอ็มพีสามและซีดีเพลงให้ลูกค้าในร้านอาหารได้ร้องและฟังเพลง ของผู้เสียหาย 1 แผ่น “เพื่อประโยชน์ในทางการค้า” ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลยแต่ไม่ปรากฏในคำฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อหา กำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจาก ลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่ม แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตาม พ.ร.บ.จั้ดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณา คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 185
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 17, 31, 70, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบของกลาง และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่ง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง ของกลางคืนให้แก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นปรากฏว่าจำเลยเปิดแผ่นเอ็มพี 3 และซีดีเพลงให้ลูกค้าในร้านอาหารของจำเลยได้ร้องและฟังเพลงของผู้เสียหาย จำนวน 1 เพลง เพียง “เพื่อประโยชน์ในทางการค้า” ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลย ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลง โดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าว หรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 เพราะไม่ครบองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าวซึ่งต้องเป็นการกระทำเพื่อ หากำไรโดยตรงจากการละเมิดลิขสิทธิ์ แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธี พิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์จึง ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…พิพากษายืน…
-----------------------------------------------------------------------------------------------
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2549 ระบุไว้ว่า
เพราะงานที่ถูกบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูลนั้นเป็นงานที่ถูกทำซ้ำขึ้นใหม่หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น

หาใช่งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียง ที่แท้จริงของผู้เสียหาย ตามความหมายของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27 และ 28 ไม่

การเผยแพร่งานที่บรรจุไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต่อสาธารณชน จึงไม่ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (2), 28 (2)
ในกรณีนี้(7873/2549) ศาลท่านให้ความเห็นว่า
และไม่อาจถือได้ว่า โจทก์มีความประสงค์ที่จะขอให้ลงโทษจำเลยในเรื่องของการเผยแพร่งานซึ่งทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรด้วยการเผยแพร่ต่อสาธารณชน อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) ด้วย เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายมาตรานี้ไว้ในคำฟ้องแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
-----------------------------------------------------------------------------------------------
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551 ระบุไว้ว่า
มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น
ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลง โดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าว หรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31

ทั้งสองฎีกานี้
ฏีกาแรกนั้นแสดงว่า เพลงที่บรรจุอยู่ใน Computer นั้นไม่ใช่ผลงานใดๆของผู้เสียหาย ข้อกล่าวหาที่ผู้รับมอบอำนาจมาแจ้งความร้องทุกข์ทั้งหมดนั้น จึงเป็นการแจ้งความและใส่ความเป็นเท็จทั้งสิ้น ซึ่งศาลท่านได้แนะนำว่า จะผิดได้ในมาตรา 31 เท่านั้น
ฏีกาหลังนั้นแสดงว่า ความผิดตามมาตรา 31นั้น จะต้องกระทำเพื่อหากำไรจากงานเพลงเท่านั้น(เก็บค่าร้องเพลงหรือค่าฟังเพลง)
  

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

หรือจะเป็น กด..หมา ???

นาย ก. สั่งนาย ข. ให้ไปฆ่า นาย ค.
โทษ นาย ก..ผู้บงการ ประหารตายตกไปตามกัน
นาย ข.. ผู้ลงมือ ติดคุก ตลอดชีวิต

แล้ว กฏหมาย ไทย มีข้อไหน..ศาล ช่วยบอกประชาชน ให้เข้าใจที

นายสิทธิ กับนายเทือก ส่งนายตะหาร ให้เกณฑ์ลูกน้องไปฆ่า ประชาชน

คำถามของคนไืทย ที่รอคำตอบ...จากศาลที่(คิดว่า)ยุธติธรรม

..ทำไม่มันยังไม่โดนประหาร...ไม่ติดคุก..ทำไมนักโทษถึงเดินถ่วงความเจริญอยู่ได้..ทั้งที่สั่งฆ่าคนเกือบร้อย..ศาลกลัวอะไร..สงคมนี้ยังจะยอมรับกฏหมาย ที่จะไม่เป็นกฏหมายแบบนี้อีกหรือ....

ถึงเวลาหรือยัง..ที่เราจะเอาอย่างเกาหลี ในสิ่งดีๆบ้าง...สั่งสอนนักการเมือง พวกบ้าอำนาจ..

ถ้าไอ้หมา..2 ตัวนั่น..ไม่โดนประหาร..เวลาเลือกตั้ง .. แบนพรรคกวนเมืองแบบนี้..ว่าถ้าคุณ ไม่ยอมทำอะไร..เราก็จะไม่ยอมเลือกมึง เด็ดขาด

มันถึงเวลาที่คนไทย .. ถ้ารวมพลัง ไม่เลือกพรรคที่โกง บ้าอำนาจ ไม่ว่า รัฐบาล หรือค้าน ....................

ถ้าโกง......แบน+ประจาน...แบบไม่มีสี อยากให้มันผูกคอตาย อย่างเกาหลี จัง ฟร่ะ !@#$%