วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรียบเรียง คำพิพากษา กรณี มีเพลงอยู่ใน Computer

เรียบเรียง คำพิพากษา กรณี มีเพลงอยู่ใน Computer
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2549
พนักงานอัยการจังหวัดลำปาง โจทก์
นายสุนทร บุญประเสริฐ จำเลย
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27, 28, 31(2), 69 วรรคสอง, 70 วรรคสอง

เจตนารมณ์ ของกฎหมายในการร้องทุกข์ก็เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทราบว่ามีการกระทำ ความผิดเกิดขึ้นและประสงค์จะให้มีการนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ร. ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และต่อมาได้นำเจ้าพนักงานตำรวจค้นร้านที่เกิดเหตุและจับจำเลยส่งพนักงานสอบ สวน จากนั้น ร. จึงได้ร้องทุกข์อีกครั้ง โดยการร้องทุกข์ครั้งหลังมีข้อความระบุถึงตัวผู้กระทำผิดและลักษณะของความ ผิดชัดเจนถือได้ว่าคดีนี้มีการร้องทุกข์โดยชอบและทำให้การสอบสวนในเวลาต่อมา ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรม สิ่งบันทึกเสียง และโสตทัศนวัสดุของผู้เสียหายโดยนำเอางานซึ่งมีลิขสิทธิ์ตามฟ้องไปบรรจุใน เครื่องอ่านข้อมูล แล้วแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาภาพและเสียง แพร่ภาพ เนื้อร้อง และทำนองทางจอมอนิเตอร์ และแพร่เสียงทางลำโพงสำหรับลูกค้า ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27, 28, 29 และ 69 แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำซ้ำซึ่ง งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องการกระทำผิดเกี่ยวกับการแพร่งานดังกล่าวต่อสาธารณชน เพราะงานที่ถูกบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูลนั้นเป็นงานที่ถูกทำซ้ำขึ้นใหม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น การเผยแพร่งานที่บรรจุไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต่อสาธารณชนจึงไม่ใช่ ความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (2), 28 (2) และไม่อาจถือได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ที่จะขอให้ลงโทษจำเลยในเรื่องการเผย แพร่งานซึ่งได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรด้วยการเผย แพร่ต่อสาธารณชน อันจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (3) ด้วย เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายตรานี้ไว้ในคำฟ้องแต่อย่างใด
________________________________

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 29, 69, 75 และ 76 ริบของกลาง และให้จ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็น เจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง คืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7) หมายความถึง การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 วรรคสอง ระบุว่า คำร้องทุกข์นั้นต้องปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ต่างๆ ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ความเสียหายที่ได้รับ และชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำความผิดเท่าที่จะบอกได้ แสดงให้เห็นว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายในการแจ้งความร้องทุกข์นั้น ก็เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทราบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และประสงค์ที่จะให้มีการนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายรพีพัฒน์เข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจครั้งแรกตามรายงานประจำวัน เกี่ยวกับคดี และนายรพีพัฒน์ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปทำการตรวจค้นร้านที่เกิดเหตุและจับ จำเลยส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไปจากนั้นนายรพีพัฒน์ยังได้ร้อง ทุกข์อีกครั้งตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีโดยการร้องทุกข์ในครั้งหลังนี้ มีข้อความที่ระบุถึงตัวผู้กระทำความผิดและลักษณะแห่งความผิดชัดเจน ถือได้ว่าคดีนี้มีการร้องทุกข์และทำให้การสอบสวนในเวลาต่อมาชอบด้วยกฎหมาย แล้ว ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น

......ศาลฎีกาแผนกคดี ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะวินิจฉัยต่อไปในปัญหาที่ว่าจำเลย กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรมสิ่งบันทึกเสียง และโสตทัศนวัสดุของผู้เสียหาย โดยนำเอาเพลงขอเลวแค่นี้ รักแท้แพ้ใกล้ชิด ชดใช้ยังไง ข้อดีที่มีเธอ ซึ่งเป็นผลงานเพลงในอัลบัมเพลงชุด “ปาน ทรู สตอรี่ ความรัก/ผู้ชาย/ปลาย่าง” ซึ่งขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร นำไปบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูล ซึ่งทำการแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณภาพและเสียง โดยแพร่ภาพ เนื้อร้อง และทำนองทางจอมอนิเตอร์ และแพร่เสียงผ่านทางลำโพง ไว้สำหรับบริการลูกค้า กับขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 29, 69, 75 และ 76

แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำซ้ำซึ่ง งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียงตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (1), 28 (1) ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่งานดังกล่าวต่อ สาธารณชน เพราะงานที่ถูกบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูลนั้นเป็นงานที่ถูกทำซ้ำขึ้นใหม่หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
หาใช่งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียง ที่แท้จริงของผู้เสียหาย ตามความหมายของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27 และ 28 ไม่ การเผยแพร่งานที่บรรจุไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต่อสาธารณชน
จึงไม่ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (2), 28 (2)
และไม่อาจถือได้ว่า โจทก์มีความประสงค์ที่จะขอให้ลงโทษจำเลยในเรื่องของการเผยแพร่งานซึ่งทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรด้วยการเผยแพร่ต่อสาธารณชน อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) ด้วย เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายมาตรานี้ไว้ในคำฟ้องแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง

กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน
( พิชิต คำแฝง - สุวัฒน์ วรรธนะหทัย - ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช )
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง - นายสุทิน ปัทมราชวิเชียร
…………………………………………………………………………………………………………………………
หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2549 นี้
หมายความว่า ศาลแนะนำว่า ต้องฟ้องตามมาตรา 31 เท่านั้น
มาตรา 31 ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้น เพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(1) ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือเสนอให้เช่าซื้อ
(2) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(3) แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
(4) นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
...
ร้านอาหารเปิดเพลงMP3ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ การละเมิดลิขสิทธิ์เพลงของผู้อื่น ต้องเป็นกรณีที่ทำละเมิดขึ้น "เพื่อหากำไร" เท่านั้น เจ้าของขายอาหารและเครื่องดื่มเปิดเพลงจาก MP3 ให้ลูกค้าฟังในร้านอาหารโดยไม่ได้หากำไรโดยตรงจากเพลงที่เปิดหรือเรียกเก็บ ค่าตอบแทนจากลูกค้าจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้ อื่น แม้จำเลยจะรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องปรากฏแต่เพียงว่า จำเลยเปิดแผ่นเอ็มพีสามและซีดีเพลงให้ลูกค้าในร้านอาหารได้ร้องและฟังเพลง ของผู้เสียหาย 1 แผ่น “เพื่อประโยชน์ในทางการค้า” ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลยแต่ไม่ปรากฏในคำฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อหา กำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจาก ลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่ม แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตาม พ.ร.บ.จั้ดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณา คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 185
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 17, 31, 70, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบของกลาง และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่ง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง ของกลางคืนให้แก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นปรากฏว่าจำเลยเปิดแผ่นเอ็มพี 3 และซีดีเพลงให้ลูกค้าในร้านอาหารของจำเลยได้ร้องและฟังเพลงของผู้เสียหาย จำนวน 1 เพลง เพียง “เพื่อประโยชน์ในทางการค้า” ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลย ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลง โดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าว หรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 เพราะไม่ครบองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าวซึ่งต้องเป็นการกระทำเพื่อ หากำไรโดยตรงจากการละเมิดลิขสิทธิ์ แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธี พิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์จึง ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…พิพากษายืน…
-----------------------------------------------------------------------------------------------
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2549 ระบุไว้ว่า
เพราะงานที่ถูกบรรจุในเครื่องอ่านข้อมูลนั้นเป็นงานที่ถูกทำซ้ำขึ้นใหม่หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น

หาใช่งานดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ หรือสิ่งบันทึกเสียง ที่แท้จริงของผู้เสียหาย ตามความหมายของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 27 และ 28 ไม่

การเผยแพร่งานที่บรรจุไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต่อสาธารณชน จึงไม่ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (2), 28 (2)
ในกรณีนี้(7873/2549) ศาลท่านให้ความเห็นว่า
และไม่อาจถือได้ว่า โจทก์มีความประสงค์ที่จะขอให้ลงโทษจำเลยในเรื่องของการเผยแพร่งานซึ่งทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไรด้วยการเผยแพร่ต่อสาธารณชน อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) ด้วย เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายมาตรานี้ไว้ในคำฟ้องแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
-----------------------------------------------------------------------------------------------
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551 ระบุไว้ว่า
มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น
ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลง โดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าว หรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31

ทั้งสองฎีกานี้
ฏีกาแรกนั้นแสดงว่า เพลงที่บรรจุอยู่ใน Computer นั้นไม่ใช่ผลงานใดๆของผู้เสียหาย ข้อกล่าวหาที่ผู้รับมอบอำนาจมาแจ้งความร้องทุกข์ทั้งหมดนั้น จึงเป็นการแจ้งความและใส่ความเป็นเท็จทั้งสิ้น ซึ่งศาลท่านได้แนะนำว่า จะผิดได้ในมาตรา 31 เท่านั้น
ฏีกาหลังนั้นแสดงว่า ความผิดตามมาตรา 31นั้น จะต้องกระทำเพื่อหากำไรจากงานเพลงเท่านั้น(เก็บค่าร้องเพลงหรือค่าฟังเพลง)
  

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

หรือจะเป็น กด..หมา ???

นาย ก. สั่งนาย ข. ให้ไปฆ่า นาย ค.
โทษ นาย ก..ผู้บงการ ประหารตายตกไปตามกัน
นาย ข.. ผู้ลงมือ ติดคุก ตลอดชีวิต

แล้ว กฏหมาย ไทย มีข้อไหน..ศาล ช่วยบอกประชาชน ให้เข้าใจที

นายสิทธิ กับนายเทือก ส่งนายตะหาร ให้เกณฑ์ลูกน้องไปฆ่า ประชาชน

คำถามของคนไืทย ที่รอคำตอบ...จากศาลที่(คิดว่า)ยุธติธรรม

..ทำไม่มันยังไม่โดนประหาร...ไม่ติดคุก..ทำไมนักโทษถึงเดินถ่วงความเจริญอยู่ได้..ทั้งที่สั่งฆ่าคนเกือบร้อย..ศาลกลัวอะไร..สงคมนี้ยังจะยอมรับกฏหมาย ที่จะไม่เป็นกฏหมายแบบนี้อีกหรือ....

ถึงเวลาหรือยัง..ที่เราจะเอาอย่างเกาหลี ในสิ่งดีๆบ้าง...สั่งสอนนักการเมือง พวกบ้าอำนาจ..

ถ้าไอ้หมา..2 ตัวนั่น..ไม่โดนประหาร..เวลาเลือกตั้ง .. แบนพรรคกวนเมืองแบบนี้..ว่าถ้าคุณ ไม่ยอมทำอะไร..เราก็จะไม่ยอมเลือกมึง เด็ดขาด

มันถึงเวลาที่คนไทย .. ถ้ารวมพลัง ไม่เลือกพรรคที่โกง บ้าอำนาจ ไม่ว่า รัฐบาล หรือค้าน ....................

ถ้าโกง......แบน+ประจาน...แบบไม่มีสี อยากให้มันผูกคอตาย อย่างเกาหลี จัง ฟร่ะ !@#$%

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

โกงแผ่นดินดีกว่า ค้ายาบ้าโทษนิดเดียว

สำหรับอัตราโทษกรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ตามกฎหมาย ป.ป.ช.กำหนดอัตราโทษ ให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ต่อการแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ 1 ครั้ง

*******************************
โทษโกงแผ่นดิน มันเท่านี้

ค้ายาบ้าเม็ดเดียว ยังโดนหนักกว่า

ทำไม ไม่ข้อแก้ ให้เป็นโทษประหาร 7ชั่วโคตรด้วยว่ะ
หรือว่านักการเมือง กลัวโคตรตัวเอง โดนประหารหมด

คงจะดีกว่ามานั่งเถียงเรื่อง..นิรโทษ สะกำ เปรืองภาษีของแผ่นดินว่ะ

ไอ้ขี้ครอก....

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

ไม่ใช่คน..เลย




ประชาชน....ท่าน สส.ครับ  รับประทาน ท่านเป็นคนเลย หรือเปล่าครับ
ท่าน สส......เปล่าครับ


ประชาชน....ถึงว่า...หน้าไม่ค่อยเหมือนคนเลย ???


วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556


ผม

ขอ

โอ

กาส

เคย

โกง

แล้ว

โกง

ต่อ

ทัน

ที

เลือก

ลุ่งแจ่ม 555

เบอร์ 108


รถไฟด่วน แดกด่วน มาแล้ววว

บ้านผมทำนา????
ก็เลยถามแบบ..ชาวนา

มีรถไฟแล้ว....ข้าวจะงาม ขึ้นปะ
มีรถไฟแล้ว....ปุ๋ยจะถูกลงปะ
มีรถไฟแล้ว....จะมีน้ำทำนาทั้งปีปะ จะได้เลิกแห่แมวซะที สงสารมัน
มีรถไฟแล้ว....ปตท.มันจะลดราคาน้ำมัน เท่าบ้านเมืองอื่นปะ
มีรถไฟแล้ว....ธ..ส.จะเลิกบังคับคนกู้ ซื้อปุ๋ยยาห่วยๆแสนแพงปะ
มีรถไฟแล้ว....โรงผีมันจะเลิกฝากข้าวไปจำนำปะ
มีรถไฟแล้ว....จำนำข้าวแล้วจะได้เงินเลยเหมือนโรงจำนำปะ
มีรถไฟแล้ว....พ่อค้าจะเลิกโกงตาชั่งข้าวปะ
มีรถไฟแล้ว....อะทิปบ่ดี2พันร้านจะติดคุกปะ
มีรถไฟแล้ว....จะเลิกตั้งด่านแจกใบ...ตามทีมืดๆแบบโจรปะ
มีรถไฟแล้ว....บ้านหลังแรกจะถูกยึดปะ
มีรถไฟแล้ว....รถคันแรกจะถูกยึดปะ

สุดท้าย..ประชาชน อย่างผม จะรวยยังไง กับรถด่วน รวยด่วน

เท่าที่พอคิดได้..
ที่ปรึกษา....ขอให้มาปรึกษาฟรี ได้ปะ
....ปู้รับเหมา คงรวยด่วนตามรถไป
....ใครจะ อนุมัติหว่า..อื้อออออออ

อิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก อู้ววววววววววววว???

...จะเหลือมาให้ ชาวนารวย ตรงไหนหว่า ???????

ชาวนาแย่างผม....ยังหาทางรวย ตามท่านไม่เจอเลย เหยๆๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำไม่ เมียคนแรก ไม่ยึดว๊ะ ??




โครงการบ้านหลังแรก....ยึด ??

โครงการรถคันแรก........ยึด ??

เมียคนเรก.........เมิง มายึดไปที ซิว๊ะ  !@#$%



รถคันแรก..ประชานิยม...ใครรวย????



ประชาชนได้อะไร   ???

1.มีหนี้เพิ่มขึ้น  โดนบวกดอกเบี้ย  แน่นอนถูกตามทวงจากไฟแนนท์อย่างหนัก

ใครรวยขึ้น

1.ผู้ถือหุ้น บริษัทฯรถ

2.คนขายรถ ขายได้มากขึ้น ยังไงรัฐบาลมันก็ต้องอุ้มโครงการ

3.ไฟแนนท์ ดอก+ต้น+ทบ+ค่าทวง+ค่ายึด

ผ่อนแทบตาย สุดท้าย..คยไทยก็ไม่ได้ รถคันแรก

ไฟแนนท์ เอาไปขายทอดตลาด.......สุดท้าย  ใครรวย???

คิดออกปะ คนไทย

ใครเป็นหนี้  หัวโต







โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง
“โครงการรถคันแรก” เป็นหนึ่งในโครงการประชานิยมที่รัฐบาลใช้เป็นไม้เด็ดหาเสียงจนชนะเลือกตั้งถล่มทลาย
เมื่อดีเดย์เปิดตัวรถคันแรกปลายปี 2554 รัฐบาลตั้งเป้ามีผู้มาใช้สิทธิ 5 แสนคัน เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืน 3 หมื่นล้านบาท แต่จังหวะไม่ดีเจอน้ำท่วมใหญ่เสียก่อน ประชาชนเลยหมดอารมณ์ซื้อ ส่วนผู้ผลิตรถก็เจอน้ำท่วมโรงงานเสียหายยับเยิน ส่งผลให้โครงการรถคันแรกหมดความขลังไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ไม่ยอมให้รถคันแรกเป็นประชานิยมที่ล้มเหลว มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขขยายเวลาการส่งมอบรถ ให้ใช้ใบจองมาขอใช้สิทธิได้ก่อนและรับรถได้ในภายหลัง ทำให้โครงการกลับมาคึกคักยอดใช้สิทธิเมื่อปิดโครงการเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2555 พุ่งสูงถึง 1.25 ล้านคัน เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืนถึง 9.1 หมื่นล้านบาท
จากตัวเลขผู้ใช้สิทธิสูงกว่าเป้าถึง 2 เท่า และเงินที่ต้องจ่ายคืนมากกว่าที่ประเมิน 3 เท่า รัฐบาลยังประกาศเต็มปากว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จ
ว่าไปแล้ว โครงการรถคันแรกมีผลดีหลายอย่างที่เกิดขึ้นทันตาเห็น คือ ผู้ซื้อรถยนต์ได้รถราคาถูก เพราะมีการคืนเงินเท่ากับจำนวนภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์คันนั้นต้องเสีย แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรถยนต์ฟื้นตัวจากน้ำท่วมอย่างรวดเร็ว ยอดการผลิตเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ฟันรายได้และกำไรเข้ากระเป๋าชื่นบานกันทั่วหน้า
ในแง่ของรัฐบาลเอง การที่มีการซื้อขายรถเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น กรมสรรพสามิตเก็บภาษีรถยนต์มากกว่าเป้าเป็นเท่าตัว ทำให้การเก็บภาษีภาพรวมในปี 2555 ที่ผ่านมาสูงกว่าเป้าหลายหมื่นล้านบาท ทั้งที่ต้องเสียรายได้จากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
ขณะที่กรมสรรพากรเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น รวมถึงภาษีกำไรจากผู้ผลิตรถยนต์ ทำให้กรมสรรพากรตีตื้นเก็บรายได้ในปีที่ผ่านมาต่ำกว่าเป้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ทำให้เสียรายได้ไปกว่า 1.5 แสนล้านบาท
ในแง่เศรษฐกิจภาพรวม โครงการรถคันแรกมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่น้อย อย่างน้อยก็มีส่วนสำคัญส่วนหนึ่งทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ถึง 6.4% ต่อปี จากที่ประเมินไว้เดิม 5.5% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม โครงการรถยนต์ก็มีผลกระทบด้านลบไม่น้อย ที่เห็นเป็นอันดับแรก กระตุ้นให้หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นภัยร้ายแรงคุกคามเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ หากไม่ระวังการก่อหนี้ของภาคประชาชนท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจผันผวนอย่างมากในขณะนี้
เรื่องหนี้ภาคครัวเรือน เป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาเตือนอย่างต่อเนื่องว่ามีสัญญาณที่ไม่ดี และหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการประชานิยมของรัฐบาล ที่เร่งให้คนใช้จ่าย ไม่สนใจเรื่องการออมเท่าที่ควร ซึ่งทำให้รัฐบาลไม่พอใจ ธปท.ที่ออกมาให้ความเห็นแทงใจดำอยู่ตลอด
ผลกระทบใหญ่ที่รัฐบาลไม่คิดและกำลังเกิดขึ้น คือ เงินที่จะนำมาจ่ายคืนให้กับผู้ที่ได้สิทธิที่มีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลังในขณะนี้
รัฐบาลตั้งงบประมาณปี 2556 เพื่อมาจ่ายคืนให้ผู้ได้สิทธิเพียง 7,250 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ผู้ใช้สิทธิจริงมีถึงกว่า 9 หมื่นราย เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืนถึง 3.8 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจ่ายคืนผู้ได้สิทธิถึงเดือน มี.ค. 2556 มีเงินเหลือแค่ 300 ล้านบาท แค่ผู้ได้สิทธิคืนเงินในเดือน เม.ย. 2556 ก็ไม่พอจ่ายแล้ว ไม่ต้องนึกถึงเดือนอื่นที่เหลืออีกหลายเดือน
ภาวะเช่นนี้ รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการรถคันแรกถังแตก เงินไม่มีจ่าย เพราะขนาด มนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ยังออกมายอมรับว่าไม่รู้ว่าจะเอาเงินจากไหนมาจ่าย เพราะต้องใช้เงินจ่ายผู้ได้สิทธิจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2556 หรือสิ้นเดือน ก.ย. ปีนี้ถึง 3.1 หมื่นล้านบาท
ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะสำนักงบประมาณปฏิเสธกระทรวงการคลัง ที่ขอให้จัดสรรงบกลางมาจ่ายคืนผู้มีสิทธิได้รถคันแรกในส่วนที่เหลือปีงบประมาณ 2556 ทั้งหมด โดยสำนักงบประมาณให้เหตุผลว่า งบกลางเป็นงบของนายกรัฐมนตรี ต้องเก็บไว้ใช้ในโครงการอื่นๆ
เมื่อเป็นเช่นนั้น โครงการรถคันแรกก็ถูกลอยแพจากรัฐบาลกลายๆ เพราะการใช้งบกลางถึง 3.1 หมื่นล้านบาท ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อเทียบกับการนำเงินดังกล่าวไปทำโครงการให้ผู้รับเหมาที่ใกล้ชิดฝ่ายการเมือง ทำให้นักการเมืองทั้งนายใหญ่ นายเล็ก ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชา ค่าหัวคิว จากการอนุมัติโครงการ 3050% ดีกว่ากันเยอะเลย
เมื่อมาถึงทางตัน ทำให้กระทรวงการคลังต้องพาโครงการรถคันแรกแหกโค้ง ดอดเงียบมาใช้เงินคงคลังจ่ายคืนผู้ได้สิทธิไปก่อน โดยปล่อยให้ข้าราชการคลังรับหน้าเสื่อไปดำเนินการ ส่วนฝ่ายการเมืองก็มีทั้งชิ่งและลอยตัว เพราะไม่ต้องการเอาเผือกร้อนมาไว้กับตัว
ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ที่กำกับดูแลกรมสรรพสามิต และเดินหน้าผลักดันโครงการรถคันแรก โยนให้กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะล้วงเงินคงคลังมาจ่ายคืนรถคันแรก
ขณะที่ กิตติรัตน์ ยืนกระต่ายขาเดียวว่ารถคันแรกไม่ใช่โครงการประชานิยม และไม่ได้ทำให้รัฐเสียหาย ก็ยังเก็บตัวเงียบเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามว่าเงินที่จ่ายคืนรถคันแรกจะมาจากที่ไหน
สุดท้ายเรื่องนี้ก็มาตกหนักที่ข้าราชการประจำ ต้องมาตามเก็บกวาดโครงการรถคันแรกของรัฐบาล โดยการไปหาเหตุผลแบบสีข้างเข้าถูเพื่อไปนำเงินคงคลังมาจ่ายคืนรถคันแรกให้ได้
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหารถคันแรกดังกล่าวเป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด เพราะการใช้เงินคงคลังมีการปรับปรุงกฎหมายว่า เมื่อนำเงินคงคลังไปใช้ ในปีงบประมาณต่อไปต้องมีการตั้งงบมาใช้คืน เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง ป้องกันนักการเมืองมักง่าย ที่นึกว่าเงินคงคลังเป็นโรงพิมพ์แบงก์ใช้แล้วไม่ต้องจ่ายคืน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาระงบประมาณปี 2557 จะมีปัญหาอย่างมาก เพราะรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณมาคืนเงินคงคลังถึง 3.1 หมื่นล้านบาท ที่จะนำออกไปจ่าย
นอกจากนี้ยังมีภาระที่ต้องจ่ายคืนให้กับผู้ที่ได้สิทธิส่วนที่เหลือ 5.3 หมื่นล้านบาท พูดง่ายๆ คือ ภาระต้องจ่ายคืนรถคันแรกทั้ง 9.1 หมื่นล้านบาท จะตกอยู่ในปีงบประมาณ 2557
ภาระที่มากขนาดนั้น ทำให้งบประมาณปี 2557 ที่ยังต้องเป็นงบประมาณแบบขาดดุล มีแนวโน้มสูงว่าต้องขาดดุลมากขึ้น เพื่อกู้เงินมาจ่ายคืนรถคันแรก ทำให้หนี้สินของประเทศสูงขึ้น สร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจไทยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
โครงการรถคันแรก ไม่ใช่โครงการประชานิยมแรก ที่รัฐบาลคิดแบบหยาบๆ หวังแต่คะแนนเสียง เพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง โดยที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศ
โครงการรับจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นล้านบาท ใช้เงินกู้ไป 5 แสนล้านบาท สร้างความเสียหายปีละกว่าแสนล้านบาท ข้าวไทยไม่มีคุณภาพ การส่งออกข้าวมีปัญหา ไม่ต้องพูดถึงการระบายข้าวที่ทำมากแค่ไหนรัฐขาดทุนเท่านั้น แต่คนที่เกี่ยวข้องมีแต่รวยขึ้น สุดท้ายผู้เสียภาษีก็ต้องใช้หนี้ให้รัฐบาล
การออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง โดยอ้างว่าจำเป็นต้องให้มีการลงทุนต่อเนื่อง แต่สร้างภาระหนี้ให้คนไทยกว่าจะใช้หมดภายใน 50 ปี ที่รัฐบาลวาดฝันแล้ว รวมทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นภาระสูงถึง 5 ล้านล้านบาท
มาถึง ณ ขณะนี้ โครงการรถคันแรกกำลังสร้างภาระหนี้ให้กับคนไทยอีก 9 หมื่นล้านบาท เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะตัดใบบัวมาปิดโครงการเน่าแบบนี้มากแค่ไหนก็ปิดไม่มิด เพราะสุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องกู้เงินมาจ่ายอยู่ดี
ทั้งนโยบายรถคันแรก และจำนำข้าว จะถูกนำมายกตัวอย่างการละลายเงินงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนอย่างไร้ประสิทธิภาพ ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในสภาวันที่ 28 มี.ค.นี้ แน่นอน


รับประทาน...มันไปเหาะอยู่ที่ไหนฟ่ะ



เรือเหาะของหนูอยู่ไหน

มีเรือเหาะแล้ว  ทำไม ยังมีระเบิด

ไหนว่า มันดีไง?????

ใครแดกเรือเหาะ..ชี้แจงด่วน






วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

แล้งนี้ ร้อนนัก เตรียมความพร้อมสู้ไฟไหม้



ไฟไหม้         ไฟไหม้            ไฟไหม้

คงไม่มีใคร อยากให้เกิด

40 องศา นี่ ก้นบุหรี ชิ้นเล็กๆ ก็สร้างความหายนะ ใหญ่หลวงมาแล้ว


***********************

เหลียวมามองความพร้อม ของ อบต..ต้องบอกว่า ยังไม่มีความพร้อมที่จะรับมือกับ ปัญหานี้.

1.ไม่ได้ให้ความสำคัญ
2.บุคลากร ไม่มีความรู้ หรือพร้อมที่จะจัดการกับปัญหาไฟใหม้
3.รถดับเพลิง และ อุปกรณ์ ไม่พร้อมใช้งาน

***********************

หลายๆครั้งที่เกิดไฟไหม้ กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ ก็ไหม้ไปหมดแล้ว  อีกหลายครั้งที่ได้ยิน 

ในรถไม่มีน้ำ??? 
รถสตาร์ทไม่ติด แบตเตอรี่หมด????
เกียร์ฝากหลุด????(ทำให้ปั้มน้ำไม่ได้)

เราประชาชน อยากตั้งคำถามว่า...เจ้าหน้าทีพวกนี้ วันๆ ทำอะไรกันอยู่  หรือกินเงินภาษี เราไปวันๆ  งานไม่ทำ ความพร้อมไม่มี 

..เอาแต่นั่งกินภาษีประชาชน ??????

*******************
หน้าร้อนนี้...เตรียมตัวกันให้พร้อมๆ หน่อยนะครับ

รถพร้อม  น้ำเต็ม  แบตดี   หัวฉีด สายยาง หัวพ่นต่างๆ ให้มันอยู่ในที่ทางของมัน  พร้อมใช้ 24 ชม.

การประสานงานกับ อบต.ไกล้เคียง เพื่อขอรถมาช่วย

เพราะลำพัง รถดับเพลิง อบต เดียว รับรองได้ว่า ไม่พอที่จะดับไฟแน่นอน

1.รถฉีด พ่นน้ำ 3-5 คัน

2.รถส่งน้ำ 1-2 คน

3.รถดับเพลิงขนาดเล็ก เข้าพิ้นที่แคบ

4.รถขนอุปกรณ์-ชุด ดับเพลิง(ยังไม่เห๋นมี) ยังปล่อยให้เจ้าหน้าที่เสี่ยงตายเอาเอง ไม่มีชุดกันไฟ ไม่มีรองเท้า ไม่มีหน้ากาก ตาม อบต.  เจ้าหน้าที่จึงลุยไม่ได้ 

5.นอกจากเจ้าหน้าที่แล้ว อบรมชาวบ้านให้รู้จักการดับเพลิงบ้าง  สัญญาณมือ ปล่อยน้ำ ปิดน้ำ  การช่วยลากสายดับเพลิง  พวกมุงมันเยอะ  แนะนำเรื่องการฉีดน้ำสกัดเพลิง  ทำความเข้าใจหลักการดับเพลิง ไหม้แล้วไหม้ไป ต้องฉีดสกัดแบบไหน บลาๆๆๆๆ

6.ไหม้บ้าน  สิ่งที่ต้องระวัง....ถังแก๊สสสสสสสสส

7.ระวังสำลักควัน..เอาเสื้อยืด ชุบน้ำ ปิดปากปิดจมูก ให้ดี

8.ถังแก๊สถ้าไฟกำลังพุ่งออกมา ดับได้ด้วยการเทน้ำใส่บนหัวถัง

**********************

ทั้งหมดนี้ อยากบอกว่า  .. ร้อน แล้งนี้ ระวังไฟ

ต้องเตรียมความพร้อม ทั้งชาวบ้าน และ ราชการเพื่อลดความสูญเสียจากไฟไหม้



วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

คำสั่ง....ย้ายด่วน



สาเหตุก็มาจาก ไอ้ตู้นี้ละครับ ปั๊ม ปตท...

มันคือตู้เก็บกระดาษ เช็ดตูดดดดดดดดดด

พอนั่งปุ๊บ...(ภาพด้านล่าง)


 







กลิ่นมันอยู่ระดับจมูกพอดี.....เป๊ะเลย

ตรูอยากไปลากไอ้คนออกแบบมานั่งขี้สัก 15 นาที

















มนุษย์พันธ์ไหนว๊ะ ..ขึ้ไปกินไป



ณ.ปั๊มปั๊มหนึ่ง..ไกลแฟต ปลาทอง 

หรือมันคิดว่า....นั่งอยู่ในโรงหนัง????





เมล็ดแตงโม+เมล็ดฝักทอง